หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ครั้งหนึ่งยังจำได้...





        หลายสมองและสองมือของแต่ละคนได้ถูกถ่ายทอดลงบนหน้ากระดาษปนหมึกอักษร จนเกิดเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงแห่งความภาคภูมิใจ ในชื่อว่า "@Choice Magazine"




        ในที่สุดก็ผ่านไปเป็นที่เรียบร้อย กับการทำงานที่เรียกว่าทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจให้กันอย่างเต็มที่กับการผลิตนิตยสารขึ้นมาเล่มหนึ่ง มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทำเองคนเดียวไม่ได้แน่ๆ เพราะในหนึ่งเล่มนั้นจะต้องประกอบไปด้วยเนื้อหาหลายๆ อย่างรวมกันตามจุดประสงค์ที่ได้ตั้งไว้ และสอดคล้องกับชื่อเรื่องหรือชื่อนิตยสารด้วย





        ระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมาตั้งแต่วันแรกๆ ของการระดมความคิด ปัญหาก็เกิดแล้ว คือคิดไม่ออก จะทำเรื่องอะไร?  อะไรคือเรื่องที่เราสนใจที่สุด?  ผู้อ่านน่าจะสนใจไปกับเราด้วยไหม? ทำไมถึงต้องอ่านเล่มนี้ของเรา?  คำถามนี้ยังคงวนเวียนอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งได้ข้อสรุปออกมาว่า Life Style & Healthy









        หลังจากนั้นจึงเริ่มลงมือแบ่งงานกันทำ แบ่งหน้าที่กัน โดยจะมีในส่วนของบรรณาธิการ นักเขียน ฝ่ายกราฟิกและช่างภาพ  ถ้าเปรียบเป็นการทำงานในห้องครัวก็เหมือนกับว่าทุกคนเป็นพ่อครัวแม่ครัว ออกแสวงหาวัตถุดิบ พืชพันธุ์ธัญญาหารชั้นดี ทุกสิ่งเลือกสรรคัดพิเศษมาปรุงด้วยสูตรเด็ดเพื่อคุณผู้อ่านโดยเฉพาะให้สมกับป้ายหน้าร้านที่ติดชื่อว่า "@Choice"







        ทุกระบวนการที่ผ่านมาก๋อนจะเสร็จสิ้นเป็นชิ้นงานที่สมบูรณ์ สิ่งที่ทำลงไปนั้นผมขอเรียกมันว่า "เปิดเลนส์ ก่อนปิดเล่ม" นั่นคือ การที่เราได้ออกไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ พกเลนส์ตาและเลนส์ความคิดออกไปค้นหาแรงบันดาลใจ ความชอบ ความสุข สิ่งสวยงามรอบตัว ได้ลองลิ้มชิมรส สัมผัสบรรยากาศสถานที่ กระทบไหล่ผู้รู้และคนดัง และต่างๆ อีกมากมาย นับว่าเป็นความคุ้มค่าที่สุด








        สุดท้ายนี้สิ่งที่ได้รับอย่างเต็มที่และจริงจัง นั่นคือ ความเหนื่อย! ต้องขอบอกเลยว่าเหนื่อยจริงๆ กว่าจะออกมาสักเล่มได้นั้นต้องใช้เวลาและความคิดมหาศาล!  มันไม่ได้สบายเหมือนตอนที่เราเดินเข้าร้านหนังสือ หยิบนิตยสารขึ้นมาสักเล่ม เปิดผ่านๆ อย่างไม่ได้ตั้งใจ  ดูรูป ดูปกนอก ปกใน สีสันต่างๆ ผ่านไป ไม่ถูกใจก็วาง แล้วไปดูเล่มใหม่ นั่นคือผู้อ่าน  แต่สำหรับผู้เขียนและทีมงาน มันคือการทุ่มเทเพื่อให้ได้ทั้งข้อมูลและความรู้ที่แปลกใหม่ เป็นพื้นที่การแสดงออกทางความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งอาจจะเป็นการต่อยอดจุดประกายไอเดียให้กับใครอีกหลายคนด้วยความชื่นชอบส่วนตัวกับนิตยสารแต่ละประเภท ที่ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอกและสีสัน แต่ "นิตยสาร" มันคือการแบ่งปันความสุขบนพื้นที่ความรู้ในหน้ากระดาษที่ไม่มีวันจบสิ้น...



วันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เบิกตา หน้าจอแก้ว



        สื่อถือเป็นสิ่งจำเป็นมากในปัจจุบัน เพราtเป็นตัวที่แสดงให้บุคคลอื่นรู้ถึงความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายหนึ่งได้ ซึ่งจะต้องมีการสื่อสารเป็นหลัก  ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดหรือการแลกเปลี่ยนข่าวสาร ความรู้ ความคิด   และสื่ออีกชนิดหนึ่งที่ใกล้ตัวเราๆ ท่านๆ และก็เชื่อเหลือเกินว่าหลายคนรู้จักเป็นอย่างดีถึงขนาดว่าตื่นเช้าลุกจากเตียงขึ้นมา สิ่งแรกที่จะทำ นั่นคือการดูโทรทัศน์




        โทรทัศน์ เป็นสื่อที่มีความใกล้ชิดกับผู้คนและสามารถรับสื่อได้อย่างทั่วถึงจึงนับว่ามีความสำคัญมากในสมัยปัจจุบันนี้ และยังมีอิทธิพลต่อผู้คนในสังคมมากมาย สามารถเข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัยทุกที่ทุกเวลาอย่างไม่จำกัดมากกว่าสื่อทุกชนิด เราต้องตระหนักว่า โทรทัศน์ เป็นสื่อสาธารณะที่จำเป็นต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม เพราะมีผู้คนและเด็กๆ จำนวนไม่น้อยที่เฝ้ารอดูสิ่งต่างๆ ที่แพร่ภาพผ่านจอแก้วภายในเคหะสถานบ้านเรือน และสำหรับเด็กที่ยังมีวิจารณญาณไม่มากพอ จึงมักคล้อยตามไปกับภาพที่เห็นอยู่นั้นว่าเป็นสิ่งที่ควรทำตาม




        ข้อมูลข่าวสารที่ผู้คนได้รับส่งผ่านมาทางสื่อประเภทโทรทัศน์ มีอิทธิพลมากต่อตัวผู้รับ โดยสื่อนั้นอาจให้ทั้งประโยชน์และโทษ เราจึงต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสื่อประเภทต่างๆ และสามารถเลือกรับสื่อได้อย่างเหมาะสม   ซึ่ง ณ ขณะนี้ในสถานการณ์ความขัดแย้งอันเนื่องมาจากปัญหาการบ้านการเมืองที่นับวันจะยิ่งเรื้อรังไม่จบไม่สิ้น การรบราฆ่าฟัน ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากอิทธิพลของสื่อ การนำเสนอข่าวสารผ่านทางสื่อโทรทัศน์นั้น มีอิทธิพลต่อค่านิยม ความเชื่อถือ การนำไปปฏิบัติของคนในสังคมเป็นส่วนมากเพราะสามารถแพร่กระจายไปได้อย่างทั่วถึงในเวลาอันรวดเร็วผ่านการออกอากาศ ภาพสะท้อนจากรายงานข่าว และการนำเสนอข่าวสาร ทำให้ได้รับรู้ว่าสังคมไทยในปัจจุบันเริ่มพัฒนาอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นสังคมเมืองที่มีความสับสนวุ่นว่าย เป็นสังคมที่ประชาชนส่วนหนึ่งมีปัญหาชีวิตต่างๆ มากมาย ทั้งความขัดแย้ง ความเครียด จึงมีการนำเสนอข่าวสารที่มีความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ เป็นประจำ




        แต่ก็ใช่ว่าโทรทัศน์จะมีไว้นำเสนอข่าวสารเพียงอย่างเดียวเท่านั้น  สาระความรู้ที่ได้รับการเผยแพร่ออกไปเพื่อเปิดโลกประสบการณ์ให้คนในสังคมหรือครอบครัวได้รับรู้ หรือว่าจะเป็นรายการบันเทิงต่างๆ ก็มีให้ได้เสพสมกันอย่างครบครัน ยกตัวอย่างเช่นที่ผ่านมาไม่นานมานี้ซึ่งก็เชื่ออีกนั่นแหละว่าหลายคนคงจะติดกันงอมแงมกับละครโทรทัศน์ อาจจะเพราะความสวยงามของภาพ ความสวยหล่อของพระเอกนางเอก ความน่ารักจิ้มลิ้มของเด็กน้อยในเรื่อง หรือด้วยเหตุผลอื่นก็ตามแต่  ภายในนั้นก็ได้แฝงค่านิยม พฤติกรรม และความนึกคิดทั้งดีและไม่ดีเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเราก็จะต้องแยกแยะและรู้เท่าทันสื่อโทรทัศน์

กระแสละครโทรทัศน์ในปัจจุบัน                 การชมละครโทรทัศน์
1. มีหลายเรื่องหลายช่อง                           1. ใช้เวลามากเกินไป เรื่องหนึ่งในแต่ละตอนยาวเกินไป
2. มีดาราในสังกัด                                    2. มุ่งเน้นคะแนนนิยม มุ่งไปที่ rating มากเกินไป
3. ละครภาคค่ำมาฉายซ้ำในตอนกลางวัน         3. สร้างวัฒนธรรมจากละคร
                                                          4. ใช้ดาราดึงคะแนนนิยม

อิทธิพลของละคร                                     พฤติกรรมของคนไทยที่มาจากละคร
อิทธิพลของสื่อ ไม่ได้เกิดขึ้นโดยปริยาย 
ไม่ควรยกย่องอิทธิพลของสื่อมากเกินไป             1. แนวคิด และคำพูด
ด้านลบของอิทธิพลสื่อก็มี
                                                             2. สร้างกระแสสังคม
1. สาวก แฟนคลับ
                                                             3. กำหนดมุมมอง โลกทัศน์
2. หลงรัก
                                                             4. เยาวชนและชนชันล่างได้รับอิทธิพลสูงกว่า
3. ใฝ่หารอคอย
                                                             5. รูปแบบในการดำเนินชีวิตของชนชั้นสูงและชั้นกลาง
4. วัฒนธรรม ภาษา ทัศนคติ มีคำพูดบาง
ประโยคที่ผู้ชมนำมาพูดตาม                             6. ล้มล้างทำเนียมนิยมในบางกรณี

5. แหล่งข้อมูลในการสนทนาเพื่อความบันเทิง       7. ความนิยมในการตั้งชื่อลูก
                                                              

        นอกจากนี้ยังมีค่านิยมแบรนด์เนมตามดาราในละคร หรือว่าค่านิยมที่เห็นได้อย่างเด่นชัดในโลกของพี่ไทยตอนนี้คืออยากหน้าขาวเนียนใสไร้ริ้วรอย แก้มอมชมพูเปล่งปลั่งดูมีเลือดฝาด กลายเป็นค่านิยมชอบผิวขาว  นานาประการเหล่านี้ นี่แค่เพียงละครที่นำมาเผยแพร่ผ่านทางสื่อโทรทัศน์เท่านั้น ยังไม่นับรวมข้อมูลข่าวสารต่างๆ อีกมากมายที่มีมาให้ได้ปวดไมเกรนเล่นๆ กันทุกวัน




        ส่วนเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้น ก็มีไม่น้อย อยากจะแนะนำให้ได้รู้จักกับรายการโทรทัศน์ของต่างแดนทางด้านซีกโลกตะวันตก ของเขาก็มีดีนะ อาจจะดีกว่าประเทศโลกที่ 3 อย่างเราก็เป็นได้ เช่น รายการโทรทัศน์ Sesame Street ซึ่งช่วยสอนหนังสือและปลูกฝังค่านิยมให้กับเด็กๆ ในอเมริกามาหลายรุ่น ได้ไปช่วยสอนเด็กในปากีสถานภายใต้โครงการซึ่งได้เงินช่วยเหลือ 20 ล้านดอลล่าร์ จากองค์การ USAID ของสหรัฐฯ  โดยตัวแสดงหลักในรายการที่นำมาแสดงในโทรทัศน์ของปากีสถานนี้เป็นเด็กหญิงผมเปียอายุ 6 ขวบชื่อ Rani ที่สนใจวิชาวิทยาศาสตร์ กับลาหนุ่มซึ่งใฝ่ฝันอยากเป็นดารา โดยค่านิยมที่ตัวละครดังกล่าวช่วยถ่ายทอดและปลูกฝังให้กับเด็กๆ ในปากีสถาน คือเรื่องการมีขันติ อดกลั้น และยอมรับความแตกต่าง การให้โอกาสแก่เด็กผู้หญิงและสตรี รวมทั้งเรื่องการใช้ความพยายามโดยไม่ลดละเพื่อให้ฝันเป็นจริงขึ้นมา


ตัวอย่างรายการโทรทัศน์ Sesame Street ที่ไปช่วยสอนเด็กในปากีสถาน

------------------------------------------------------

ทุกอย่างบนโลกใบนี้ "Noboby perfect" ไม่มีอะไรดีไปหมดทั้ง 100%


ข้อดีของสื่อโทรทัศน์


        ==>  เป็นสื่อที่สามารถกระจายข้อมูลได้อย่างทั่วถึง ทำให้มนุษย์ได้รับข้อมูลในด้านต่างๆมากขึ้น โดยรับผ่านทั้งทางตา และหู (ในวัยเด็กอาจจะส่งผลในเรื่องภาษาในแง่ที่ดีได้ เช่น มีรูปนก แล้วมีพิธีกรในรายการบอกว่า นี่คือนก เด็กก็จะสามารถเชื่อมโยงโดยผ่านโทรทัศน์ได้)
        ==>  สะดวก สบาย ไม่จำเป็นต้องหาข้อมูลเอง หรือออกไปนอกบ้าน ก็สามารถที่จะรับข้อมูลได้มากมายผ่านสื่อชนิดนี้

        ==>  ช่วยพ่อแม่ในการเลี้ยงดูลูก ในบางครั้งพ่อแม่อาจจะไม่มีเวลาเลี้ยงดูลูกตลอด อาจจะต้องทำงาน หรืออ่านงานอะไรก็ตาม ก็สามารถที่จะเปิดทีวีให้ลูกนั่งดูได้

ข้อเสียของสื่อโทรทัศน์
        ==>  ส่งผลให้เด็กเกิดพัฒนาการล่าช้าได้ โดยเฉพาะในเรื่องกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ เพราะการดูโทรทัศน์จะส่งผลให้เด็กมีกิจกรรมต่างๆน้อยลง เช่น การออกไปเล่นนอกบ้าน การจับสิ่งของอื่นๆ ทำให้กล้ามเนื้อไม่ได้ทำงานอย่างเต็มที่ตามช่วงวัย

        ==>  พัฒนาการทางสติปัญญาอาจจะมีปัญหา โดยเฉพาะลักษณะการเชื่อมโยงความเข้าใจของสิ่งต่างๆที่พบในโทรทัศน์ เพราะโทรทัศน์นั้นมีการตัดภาพไปมาอย่างรวดเร็ว อาจจะทำให้เด็กไม่สามารถเข้าใจได้ว่า อะไรเป็นอะไร อะไรเป็นสาเหตุ อะไรเป็นผลลัพธ์

        ==>  พัฒนาการทางสังคม เด็กจะมีการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นน้อยลง เนื่องจากว่าใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการดูโทรทัศน์ ซึ่งเป็นการรับแต่ฝ่ายเดียว ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์แสดงตอบออกไป


-------------------------------------------------------

        โทรทัศน์มิได้เป็นไปเพื่อความรู้หรือความบันเทิงภายในบ้านเท่านั้น แต่เราต้องตระหนักถึงผลกระทบที่จะส่งตรงแบบ Delivery ไปยังบ้านคุณผู้ชมโดยเฉพาะเด็กๆ จำเป็นที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับโทรทัศน์ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐหรือภาคธุรกิจในแวดวงโทรทัศน์  รวมไปถึงผู้บริโภคสื่ออย่างพ่อแม่ผู้ปกครองต้องเข้ามามีส่วนในการควบคุมดูแลรายการโทรทัศน์ให้มีเนื้อหาที่เหมาะสมกับเด็กและร่วมกันหาแนวทางในการสร้างสรรค์รายการโทรทัศน์ดีๆ มีประโยชน์สำหรับเด็ก ก็จะเป็นการเลือกใช้ประโยชน์จากโทรทัศน์ได้อย่างชาญฉลาด...


วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

สาระใกล้ตัว ..รอบรั้วพิพิธภัณฑ์

        "ความรู้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในตำราเรียนเท่านั้น"  เพียงแค่ผมได้นึกถึงประโยคสั้นๆ ประโยคนี้ ก็ทำให้เกิดความคิดและแรงบันดาลใจในการที่จะออกไปค้นหา เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ข้างนอกดูบ้าง  จากห้องเรียนสี่เหลี่ยมแคบๆ สู่โลกทรงสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ขนาดยักษ์ !!
        ได้ยินแบบนี้แล้ว หลายคนเป็นต้องถึงบางอ้อทันที..  ถูกต้องแล้วครับ  เพราะสถานที่ที่ผมพาทุกท่านมาเปิดประสบการณ์นอกตำราเรียนในวันนี้ มีอาคารที่ได้รับการออกแบบให้โดดเด่น สะดุดตา มีเอกลักษณ์ด้วยทรงของลูกบาศก์  ที่แห่งนี้ก็คือ... "พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์"  นั่นเองงงงง.... . . .




        บนพื้นที่  180  ไร่ ในบริเวณเทคโนธานี ริมถนนเลียบคลอง 5 อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เป็นที่ตั้งขององค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ สร้างขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา  5  รอบ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พุทธศักราช 2535  เพื่อจัดแสดงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ







        ตัวอาคารพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ ออกแบบให้มีลักษณะเด่นทางสถาปัตยกรรม กระตุ้นความสนใจของผู้พบเห็น สะท้อนความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการก่อสร้าง  โดยออกแบบเป็นรูปลูกบาศก์  3  รูปยึดติดกัน มีมุมแหลม  3  จุดเป็นจุดรับน้ำหนัก ภายในมีพื้นที่ถึง 18,000 ตารางเมตร  นิทรรศการที่จัดแสดงนี้ เน้นการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านสื่อผสมที่มีความหลากหลาย  โดยแบ่งการจัดแสดงในชั้นต่างๆ ดังนี้





        ชั้นที่  1  เป็นส่วนของการต้อนรับ แนะนำการเข้าชม และนิทรรศการไฟฟ้า






        ชั้นที่  2  นิทรรศการประวัติและความเป็นมาของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  การกำเนิดมนุษยชาติ และความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์  มีหุ่นจำลองของ 'ลูซี่' ซึ่งเป็นซากดึกดำบรรพ์อายุ 3,500,000 ปี จัดอยู่ในตระกูลลิงใหญ่ที่เชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ และจำลองปฏิบัติการกู้ดาวเทียม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นความสำเร็จของมนุษย์ในการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สามารถสร้างยานและเดินทางไปในอวกาศได้   นอกจากนี้ ยังมีเรื่องราวประวัติและการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ ทัศนะของนักวิทยาศาสตร์เอกของโลก





        ชั้นที่  3  นิทรรศการเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานและพลังงาน แสดงในรูปของฐานปฏิบัติการให้ผู้ชมทดลอง สัมผัส และเรียนรู้ด้วยตนเอง

        ชั้นที่  4  จัดแสดงด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในประเทศไทย เช่น การผลิตทางการเกษตรและอุตสาหกรรม ธรณีวิทยาของประเทศไทย





        ชั้นที่  5  เน้นเรื่องราวของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน เช่น ร่างกายและสุขภาพ

        ชั้นที่  6  จัดแสดงเรื่องราวของภูมิปัญญาไทย






        ด้านใน เมื่อสำรวจภายในพบว่า อุปกรณ์ต่างๆ  อย่าง เครื่องมือและแบบจำลองทางวิทยาศาสตร์ แผ่นป้ายอธิบาย รวมทั้งของเล่น ยังสามารถใช้การได้ตามปกติ แม้จะถูกใช้งานอย่างสุดกำลังจากนักค้นคว้าตัวน้อย   ส่วนสื่อการจัดแสดง  มีการเน้นสร้างปฏิสัมพันธ์ เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ขณะเดียวกันผู้ชมก็ได้รับความเพลิดเพลินไปในตัว แม้พิพิธพัณฑ์วิทยาศาสตร์ตั้งห่างไกลจากตัวเมือง แต่ยังได้รับความนิยมจากครอบครัวในฐานะแหล่งท่องเที่ยว และลูกค้าประจำอย่างคณะครู - นักเรียนจากทั่วประเทศ




        การแตกแขนงวิทยาศาสตร์อย่างกว้างขวางเช่นนี้ ถือว่าเป็นเรื่องดี  เพราะทำให้เด็กได้เรียนรู้ตามความสนใจ และช่วยเสริมสร้างจินตนาการต่ออาชีพในฝัน  อีกทั้งยังเป็นการบูรณาการกับวิชาต่างๆ ที่เคยเรียนในห้องเรียน เอามาไว้บนพื้นที่แห่งนี้ เด็ก เยาวชน หรือบุคคลทั่วไป สามารถเข้าถึงความรู้เหล่านั้นได้ง่ายขึ้นด้วยรูปธรรมที่ชัดเจน





        ตลอดเส้นทางความรู้ ที่มีให้เดินชมภายในพิพิธภัณฑ์แหง่นี้  พูดได้ว่าเวลามันช่างผ่านไปไวเหมือนโกหก รวดเร็วยิ่งนัก!  ความรู้สึกเหมือนตอนกำลังเดินอยู่ในห้างสรรพสินค้าไม่มีผิด  เวลาสองสามชั่วโมงผ่านไปไวเหมือน 5 นาที   อาจจะเป็นความรู้สึก Flow ที่เกิดขึ้นในใจเหมือนได้ปลดปล่อยอะไรบางอย่าง นี่ก็เพราะการออกแบบ/การจัดตกแต่งสถานที่ ซึ่งอย่างน้อยเราก็ได้ซึมซับเกี่ยวกับวิชาสถาปัตยกรรม การออกแบบทั้งภายนอกและภายในไปโดยปริยาย  นอกจากนี้ ก็ยังมีวิชาอื่นๆ ที่เราได้รับความรู้ไปพร้อมๆ กันด้วย


        สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม  >>  การศึกษาด้านภูมิปัญญาของไทย ตั้งแต่เมื่อครั้งในอดีต ที่ผู้คนเคยดำรงชีวิตด้วยความรู้ และอุปกรณ์ต่างๆ เหล่านั้น  ของพื้นเมืองดัั้งเดิมที่มีแต่ประเทศไทยเท่านั้น Thailand Only!!  เช่น เทคโนโลยีการแกะสลัก เทคโนโลยีเครื่องปั้นดินเผา เทคโนโลยีจักสาน เทคโนโลยีโลหะกรรม เทคโนโลยีสิ่งทอ โรงละครหุ่น เป็นต้น รวมถึงแผนที่ ภูมิศาสตร์และภูมิอากาศของประเทศไทย 

        สุขศึกษาและพลศึกษา  >>  เรื่องเกี่ยวกับด้านร่างกายและสุขภาพ อวัยวะภายในและกล้ามเนื้อต่างๆ  การเคลื่อนไหว การออกกำลังกายและกีฬา

        การงานอาชีพและเทคโนโลยี  >>  เรื่องของภูมิปัญญาก็จัดว่าเป็นการเรียนรู้ชีวิตความเป็นอยู่และการต่อยอดทางด้านอาชีพด้วย คุณภาพชีวิต บ้านและสำนักงาน เครื่องมือสื่อสาร ยานพาหนะ การคมนาคม นิทรรศการดาวเทียมธีออสและการสำรวจระยะไกล ความรู้ด้านสิ่งก่อสร้างและโครงสร้าง ตลอดจนสื่อผสมที่นำมาจัดแสดงเพื่อให้เกิดความสนุกสนาน บันเทิงไปพร้อมกับการเรียนรู้นั่นเอง

        ศิลปะ  >>  การจัดแสดงแสง สี เสียง ของสื่อที่นำมาแสดง เพื่อเป็นการดึงดูดความสนใจ ความสมจริงของสิ่งจำลอง และการสร้างสรรค์ผลงานที่นำมาจัดแสดงทุกชิ้น

        คณิตศาสตร์  >>  ภายในก็จะมีส่วนจัดแสดงที่เป็น "โซนคณิตศาสตร์ (Mathematics)" เป็นเรื่องราวของคณิตศาสตร์ เรขาคณิต การนับ พีทาโกรัส การวัดมุมทางเรขาคณิตในลักษณะต่างๆ การคำนวณ และฝึกวัดปริมาตร ฝึกการคำนวณวัดระยะทาง เป็นต้น




        .....และที่สำคัญที่สุด ชัดเจน ตรงประเด็น ไม่ออกนอกกรอบ ตรงตามชื่อของพิพิธภัณฑ์แหง่นี้ มาที่นี่ก็ต้องได้เรียนรู้วิชานี้อย่างแน่นอน

        วิทยาศาสตร์  >>  ซึ่งก็จะแบ่งออกเป็น ชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์ และดาราศาสตร์  

        โดยในส่วนของ "ชีววิทยา" จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับวงจรชีวิต วิวัฒนาการ การเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ พืช และสัตว์ ตัวอย่างเช่น ในชั้นที่ 2 ก็จะมีหุ่นของ "ลูซี่" ซึ่งจำลองมาจากบรรพบุรุษของมนุษย์ผ่านซากดึกดำบรรพ์ที่ขุดพบในประเทศเอธิโอเปีย และชั้น 4 ระบบนิเวศวิทยาของประเทศไทย ความรู้ด้านธรณีวิทยาของประเทศไทย  โครงสร้างโลก และภูมิอากาศ

        ในส่วนของเคมี ก็จะมี "โซนเคมี (Chemistry)" จัดแสดงเรื่องโมเลกุล สสาร พันธะระหว่างโมเลกุล และการเกิดปฏิกิริยาเคมี เป็นต้น  "โซนสสารและโมเลกุล (Matter and Molecular)" จัดแสดงเรื่องสสาร และโมเลกุลของสาร โครงสร้างผลึกชนิดต่างๆ  

        ทางด้าน ฟิสิกส์ จะมีให้ศึกษาอย่างหลากหลาย จัดแสดงอยู่ที่ชั้น 3  ได้แก่ 
        โซนอุโมงค์พลังงาน (Power Tunnel) จัดแสดงเรื่องบพลังงานในรูปแบบต่าง ๆ ที่มนุษย์สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ นอกจากนั้นยังมีการจำลองแผ่นดินไหวขนาดเล็กให้ได้สัมผัสอีกด้วย

        โซนแรงและการเคลื่อนที่ (Force and Motion) จัดแสดงเรื่องกฎของการเคลื่อนที่ แรงดึงดูดของโลกและกฎของนิวตัน รอก เกียร์ กฎแบร์นูลลี แรงโน้มถ่วง และสนุกไปกับแรงยกตัวของปีกเครื่องบิน

        โซนเสียง (Sound) จัดแสดงเรื่องเสียงและการเดินทางของเสียงผ่านช่องทางต่างๆ ไฮไลต์อยู่ที่การทดลองพูดผ่านจานรับเสียงขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงข้ามกัน

        โซนแสง (Light) จัดแสดงเรื่องหลักทำงานของแสง เลนส์ ปริซึม กระจก การหักเหของแสง สีของแสง การเกิดเงาและการทำงานของใยแก้วนำแสง

        โซนความร้อน (Heat) จัดแสดงเรื่องความร้อน การนำความร้อน การแผ่รังสีความร้อน

        โซนไฟฟ้า (Electricity) จัดแสดงเรื่องไฟฟ้าในชีวิตประจำวัน ไฟฟ้าสถิต การเปลี่ยนรูปของพลังไฟฟ้า แบตเตอรี่ เซลล์สุริยะ

        โซนแม่เหล็ก (Magnetism) จัดแสดงเรื่องราวของแม่เหล็ก วัสดุที่เป็นสารแม่เหล็ก อำนาจของแม่เหล็กขนาดต่างๆ ไดนาโม และมอเตอร์

        โซนความเสียดทาน (Friction) จัดแสดงเรื่องแรงเสียดทานและการเคลื่อนที่

        ส่วนด้าน ดาราศาสตร์ ก็มีโมเดลโลกและดวงดาวขนาดใหญ่เอาไว้ให้ได้ชมกัน บริเวณในส่วน-ของทางเข้า


เวลาเปิดบริการ

        เปิดให้บริการวันอังคาร - วันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 9.30 - 16.30 น. 
และ วันเสาร์ - วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 9.30 น. – 17.00 น. (หยุดวันจันทร์)



How to go there?
การเดินทาง




        การเดินทางโดยทางรถยนต์ส่วนตัว  >>  จากถนนวิภาวดีรังสิต ตามทางไปนครนายก ตรงบริเวณฟิวเจอร์ปารค์ ก็จะเข้าถนนรังสิต-นครนายก ตรงมาผ่านถนนตัดวงแหวน ตรงมาอีก 200 เมตร ถึงคลอง 5 เมื่อผ่านสะพานคลอง 5 ก่อนถึงบ้านเด็กอ่อนรังสิตจะมีทางให้เลี้ยวซ้ายวกกลับเป็นตัวยู ตามทางไปทางขวาเข้าถนนเลียบคลองห้า ตรงไปราว 3.5 กิโลเมตร จะเห็นป้ายเทคโนธานีอยู่ทางขวามือ เลี้ยวขวาตรงเข้าไปเห็นวงเวียนให้เลี้ยวซ้าย ก็จะถึงพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ตั้งโดดเด่นอยู่
        อีกเส้นทางจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เลี้ยวซ้ายผ่านวัดธรรมกาย อ. คลองหลวง – หนองเสือ ถึงทางแยก แยกซ้ายไปหนองเสือ ให้เลี้ยวขวาไปพิพิธภัณฑ์ฯ ระยะทาง 2 กม. ทางเข้าเทคโนธานีและพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์จะอยู่ซ้ายมือ


        การเดินทางโดยรถโดยสารสาธารณะ  >>  มีรถบริการเส้นทางสายวิทยาศาสตร์ “อพวช. – อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ” บริการวันละ 2 รอบ จากอนุสาวรีย์ เวลา 09:30 และ 11:00 น. จุดจอดจะอยู่บริเวณกระทรวงวิทยาศาสตร์ ใต้สะพานรถไฟฟ้า BTS ฝั่งโรงพยาบาลราชวิถี / รถออกจาก อพวช. 14:30 และ 16:30 น. รถโดยสารประจำทาง
ปอ. 538 และ ปอ.44 (อนุสาวรีย์ชัย – คลอง 6)
ปอ. 1155 ( รังสิต- พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์)






        ...แค่คุณได้ลองก้าวขาออกจากบ้าน มุ่งหน้าตรงมายังสถานที่แห่งนี้ เราขอบอกเลยว่าน่าประทับใจจริงๆ  ไม่ว่าจุดประสงค์ของคุณคือความตั้งใจที่จะมา หรือว่าต้องการจะเดินทางมาเพื่อฆ่าเวลาในช่วงวันหยุดก็ตาม คุณจะได้ความรู้ใส่คลังสมองเพิ่มเติมมากมาp

        "พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์" นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้ที่สรรสร้างความฉลาดให้กับเด็กไทยได้เป็นอย่างดี  ซึ่งอดีตเด็กไทยอย่างรุ่นคุณพ่อคุณแม่ก็ได้มารำลึกความหลัง ย้อมกลับมาสู้ความสนุกสนานในช่วงวัยเด็กได้อีกครั้ง ได้ทบทวนหลายสิ่งอย่างที่อาจจะหลงลืมไปแล้วบ้างตามกาลเวลา

อยากขอเชิญชวนให้พาครอบครัวของคุณ และตัวคุณเอง มาลองเปลี่ยนบรรยากาศการพักผ่อนในวันหยุดจากการเดินเล่นตามห้างฯ มาเที่ยวแบบนี้กันดูบ้าง แล้วคุณจะรู้ว่าสนุกสนานแบบได้ความรู้นั้นมันมีอยู่ ณ ที่นี้  นี่เองงงงงงง.............. ;)






แหล่งที่มา :
http://www.nsm.or.th/index_sci.php
http://www.nsm.or.th

วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

มองโลกด้วยดวงตา




        การอ่าน เปรียบเสมือนสมบัติแห่งปัญญา เป็นแสงสว่างนำทางความคิด และเป็นความสุขของผู้ที่มีใจรักการอ่าน แต่ในทางกลับกัน มีคนอีกจำนวนมากที่ยังทนทุกข์ทรมานเมื่อต้องอ่าน  ความมืดกับความสว่างจึงมีเส้นแบ่งบางๆ เพียงแค่เราจะเลือกหลับตาหรือลืมตาของตนเอง



        เช่นเดียวกับ "โลกในดวงตาข้าพเจ้า" ผลงานของกวีซีไรต์ ประจำปี พ.ศ.2550  'มนตรี  ศรียงค์'  เจ้าของฉายา "กวีหมี่เป็ด" เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นที่ชีวิตของเขาในยามเช้ากับการก้มหน้าก้มตานวดแป้งด้วยแรงงานของตนเอง ทำเส้นบะหมี่และลวกขาย เพื่อเลี้ยงชีพมาอย่างยาวนาน ที่ร้าน "หมี่เป็ดศิริวัฒน์" บนถนนละม้ายสงเคราะห์เก่าแก่กลางเมืองหาดใหญ่  และเมื่อมีช่วงเวลาว่างสั้นๆ จากการงานพอให้ได้เงยหน้ามองโลก ก็ไม่ลืมที่จะรีบเปิดหนังสืออ่าน จดจารอักษรกวีจากดวงตา เช่น


แป้งในถังนวด

     คือแป้งขาวขาวกับไข่ไก่                             อยู่ในถังสแตนเลสใบเขื่อง

     เป็นงานไข่กับแป้งใช้แรงเปลือง                  ปฐมบทหมี่เหลืองศิริวัฒน์!

     แล้วจึงมือสองข้างจ้วงกลางแป้ง                โถมด้วยแรงวัยหนุ่มขยุ้มอัด

     กวนบี้คุ้ยกำขยำยัด                                    ด้วยกล้ามเนื้อทุกมัดเข้าจัดทำ

     จนเป็นแป้งเนื้อเดียวอันเหนียวนุ่ม               ขณะเหงื่อวัยหนุ่มก็ชุ่มฉ่ำ

     วิทยุอย่าขอเพลงหมอลำ                            และซ้ำซ้ำ สลา คุณาวุฒิ...


หมี่เหลืองศิริวัฒน์

     กลายเป็นการงานอันแสนสุข                       ตื่นปลุกเบิกบานในหน้าที่

     วันเป็นวันเดือนเป็นเดือนปีเป็นปี                  คนขายหมี่จะไปนิพพานแล้ว!.


        เสรีภาพในการอ่านจึงมิได้อยู่ที่ใครมีหนังสือมากกว่า แต่อยู่ที่ใครจะเลือกจับหนังสือก่อน  ชีวิตของคนธรรมดาอย่างพ่อค้าบะหมี่เป็ด ที่ทุกวันง่วนอยู่กับการนวดแป้งและลวกเส้น แม้ว่ามือจะเปื้อนแป้งและกระดาษจะเปื้อนมัน แต่กลับไม่เป็นอุปสรรคของผู้มีความสุขจากการอ่าน และส่งแรงบันดาลใจต่อการเขียน
        ช่วงเวลาที่มีความสุขของเขามาจากการอ่าน  อ่านเมื่อมีเวลา วางหนังสือลงเมื่อมีลูกค้า เก็บซับความคิดที่ได้ผ่านพบขณะลวกบะหมี่  แล้วเขียนบันทึกประสบการณ์แต่ละวันผ่านดวงตาของตนลงบนกระดาษเขียนเมนูเปื้อนแป้ง ..นานวันเข้าก็กลายมาเป็นมุมมองพิเศษที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ จนทำให้วงการวรรณกรรมไทยได้หนังสือดีประดับวงการเพิ่มขึ้นอีกเล่มหนึ่ง


        มนตรี ศรียงค์ เล่าไว้ในบทนำของหนังสือ มีหัวเรื่องชื่อ เลนส์มัลิติโค้ด” ก่อนปิดเรื่องว่า

        ข้าพเจ้าหลับตาถอนหายใจ โลกทั้งโลกถูกบันทึกเอาไว้แนบแน่นในความทรงจำ ข้าพเจ้ามองหาเด็กน้อยเมื่อเกือบ 30 ปีก่อน วิ่งเล่นซุกซนอยู่บนทางเท้า ข้าพเจ้ามองหาดวงดาวบางดวงสุกก่ำอำไพอยู่เหนือฟากฟ้ามืดหม่น การกระเซ็นของคลื่นที่สาดซัดกระทบหาด สายลมที่โอนยอดสนลู่เอน
        ข้าพเจ้าถอดแว่น ล้างแล้วเช็ดด้วยผ้าสำลี คาดหวังเอาไว้ว่า เมื่อสวมมันอีกครั้ง ข้าพเจ้าจักมองเห็นดอกไม้สักดอกหนึ่งบานจากเรตินาของข้าพเจ้า



        กระทั่งเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ.2550  ณ ห้องแม่กลอง โรงแรมโอเรียนเต็ล รวมบทกวีชื่อ โลกในดวงตาข้าพเจ้าของ มนตรี ศรียงค์  ซึ่งจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สามัญชน ของบรรณาธิการคุณภาพ  เวียง-วชิระ บัวสนธ์  จึงได้รับการประกาศด้วยมติเป็นเอกฉันท์จากคณะกรรมการตัดสินรอบสุดท้ายให้เป็นวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน ประจำปี พ.ศ. 2550 (Southeast Asian Writers Award : S.E.A. Write)
        โดยมีคณะกรรมการตัดสิน ประกอบด้วย ชมัยภร แสงกระจ่าง ประธานคณะกรรมการ และกรรมการ คือ ศ.ดร.กุสุมา รักษมณี   จิรนันท์ พิตรปรีชา   ผศ.ดร.ตรีศิลป์ บุญขจร   เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์   พิมล แจ่มจรัส และอดุล จันทรศักดิ์

        คำประกาศของคณะกรรมการตัดสิน มีอยู่ว่า. . . . . . 

        "โลกในดวงตาข้าพเจ้า ของ มนตรี ศรียงค์ เป็นบันทึกภาพความเคลื่อนไหวในชุมชนเล็กๆ ผ่านดวงตาพิเศษของกวีด้วยมุมมองเฉพาะตัวที่โดดเด่น ผสมผสานกับการย้อนรำลึกเรื่องราวเกี่ยวกับผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต สามารถทำให้เรื่องที่เป็นรูปธรรมเหล่านั้นโยงไปสู่สภาพสังคมโดยรวมได้
        มนตรี ศรียงค์ ประจักษ์ในสาระของชีวิตจากการงานที่เป็นจริง และผู้คนรายล้อม แล้วนำมาถ่ายทอดไว้ในบทกวีได้อย่างกลมกลืน มีชีวิตชีวา ศิลปะในการนำเสนออยู่ที่การสรรคำและการเรียบเรียงลำดับภาพความคิดด้วยชั้นเชิงทางวรรณศิลป์ ก่อให้เกิดความสะเทือนอารมณ์และชวนคิด"




        หนังสือเล่มนี้แบ่งบทกวีออกเป็น  4  ส่วน คือ  "ที่เห็นไม่เร้นหาย"  "ยังเวียนว่ายให้รู้สึก"  "ไม่เคยฝันไม่ทันนึก"  "ว่าจะเป็นกันเช่นนี้"  รวมถึง "บทนำเรื่อง" และ "บทส่งท้าย" ด้วย
        ลีลา 'กวีสกุลใต้' ของ มนตรี ศรียงค์ นั้นมีความหลากหลาย  น่าสนใจ  และคาดคิดไม่ถึงในบางเวลาที่เปรียบเสมือนละลอกคลื่นถั่งโถมมา ทั้งหนักและเบา เพราะกระแทกหัวใจผู้อ่านให้ปรับตัวแทบไม่ทัน  นับตั้งแต่เปิดหน้าแรกจนปิดหน้าสุดท้ายลง   เป็นกวีนิพนธ์ฉันทลักษณ์ที่มีอิสระทั้งทางด้านจังหวะ เสียง และลีลา ก่อความรู้สึกแปลกใหม่ ไม่คุ้นเคยให้กับการอ่าน  เนื้อหาของบทกวีพยายามนำพาผู้อ่านไปสู่ภาพและเรื่องเล่าที่ผู้อ่านไม่คุ้นเคยและขนบของบทกวีแบบดั้งเดิมไม่เคยอุทิศพื้นที่ให้  ได้แก่ ภาพของปัจเจกบุคคลที่ไม่มีความยิ่งใหญ่ใดๆ และไม่มีความเป็นมา อันได้แก่ พ่อค้า แม่ค้า หญิงคนรัก ช่างเสริมสวย  เพื่อนเก่า เด็กวัยรุ่นในอินเทอร์เน็ต เป็นต้น 


        ตัวอย่างบางส่วนจากบทกวีชื่อ "พลายงาม" มีลีลาอ่อนหวาน เต็มพลัง ที่กล่าวถึงผู้ได้ชื่อว่าเป็น "บิดา" และ "มารดาผู้ให้กำเนิดบุตร และส่งเสริมสถานภาพบุรุษและสตรีอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกันตามแบบสังคมเก่าของไทย

            ...พ่อแม่รักเจ้าสักเท่าไหน                          จึงเลือกให้เป็นผู้กำเนิดเจ้า

            มือพ่อกร้านกรำงานมานานเนา                    กอดเยาว์คงเกรงระคายตัว

            ต้องมือแม่นิ่มนุ่มไร้ปุ่มปม                            ป้อนนมชมจูบได้ลูบหัว

            แผ่วแผ่วเบาเบา - กลัวกลัว                           เนียนเนื้อเจ้าจะมัวจะหมองรอย



           ...ต้องเพลงแม่หวานหวานกังวานกล่อม         หอมหอมเพลงเห่ทั้งหอห้อง

           โยกเยกเอยโยกเยกเจ้าเมฆฟอง                   กระต่ายล่องลอยเมฆโยกเยกมา

           ก็เพราะพ่อรักเจ้าถึงเท่านี้                             จึงหน้าที่สูงส่งอันทรงค่า

           ควรแล้วเป็นการของมารดา                           มือพ่อหนาหยาบด้าน  ทำงานเอง...



        และจากบทกวีบางบทของเขา อย่าง "มนต์รัก MSN" ทำให้เห็นว่า ไม่ว่าโลกจะเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างไร กวีก็ต้องวิ่งตาม และไม่อาจอยู่กับที่ได้ เช่น

               โลกทั้งโลกถูกย่อเท่ามอนิเตอร์              เรากะเทอร์เจอกันในวันหนึ่ง

                ชีวิตในอินเตอร์เนตนี้ก็จึง                      หวานน้ำผึ้งสุขสมสีชมพู

                โย่วโย่วเทอร์อยู่ที่หนายอ่า?                  ทำงานแร้วรึว่ายังเรียนอยู่?

                รูปเทอร์สวยอ่าเหมือนหมาจู                  งุงิงุงิน่าเอ็นดูน่าดูแคม

                โชว์วิวเปิดแคมแพลมแพลมสิ                อะคริอะคริมะก้าแหงม

                เสื้อสีสวยแสบมันแว้บแวม                     ชั้นในแพรมลับล่อยี่ห้อไร?

                เนินนมขาวจังคงทั้งเต้า                        กำเดาเลือดลิ่มจะปริ่มไหล

                แคมเทอร์สวยออกทั้งนอกใน                 แคมใหญ่เต็มปลั่งกะลังดี

                หน้าบ้านเรารถถังกะลังวิ่ง                      ปฏิวัติกันจิงจิงหรือนี่?

                บ้านเทอร์มีปะ  รึมะมี?                         อี๋อี๋บ้านน้อกบ้านนอกจัง

                 55555555                                           เรารักเทอร์น้าเด็กโง่งั่ง

                เด๋วส่ง Mp3  ปะห้ายฟัง                         แร้ววันหลังส่งคลิปปะห้ายดู

                คลิปเราเองแหละเอิ๊กเอิ๊กเอิ๊ก                 ถ่ายก่อนเลิกกะแฟนโรงแรมหรู

                  ADSL  เราใช้ TRUE                           อัพโหลดคู่สองคลิปได้ฉะบาย

                เรารักเทอร์น้าเด็กโง่                              (คลิกอีโมฯรูปหัวเราะงอหงาย)

                หนึ่งปริ๊ดแระอิอิขอบจาย                        จุ๊บจุ๊บบะบายชัทดาวน์แร้วววววววววว...

                ......................................................

                ปล.รถถังมาทามมาย?

                เด๋วไปถ่ายรูปก่อง - บลาบลาบลา.


        ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ ณ แห่งหนใดในโลกล้วนสามารถทำงาน สร้างสรรค์ได้ เพียงแต่ขอให้มีดวงตาที่มองออกไป... จากตัวเองสู่ผู้อื่น และพินิจโลกกว้างอย่างสร้างสรรค์





        และในยุคนี้ก็เป็นความท้าทายของผู้ที่ได้ชื่อว่า กวีหรือนักเขียนว่า จะทำอย่างไรเพื่อส่องฉายสังคมในห้วงเวลานั้นออกมาให้ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะทำได้  เพื่อฝากไว้ในหน้าประวัติศาสตร์อีกบทหนึ่ง
        และกวีจะต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไป เพื่อสะท้อนว่า พื้นที่อันน้อยนิดที่สื่อปัจจุบันเจียดให้ในนามของ "กวี" ที่มีผู้อ่านจำนวนน้อยนิดนี้ ยังมีพลัง พร้อมเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น และเป็นเวทีให้สาธารณะหรือผู้ไม่มีปากเสียงในสังคมอื่นๆ ได้อีกทางหนึ่ง



        ยังมีคนรอ "กวี" อยู่ หากใครเจอ.. ช่วยกันบอกที


        หรือบางทีอาจจะอยู่ใน ดวงตาของคุณเอง!