หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

มองโลกด้วยดวงตา




        การอ่าน เปรียบเสมือนสมบัติแห่งปัญญา เป็นแสงสว่างนำทางความคิด และเป็นความสุขของผู้ที่มีใจรักการอ่าน แต่ในทางกลับกัน มีคนอีกจำนวนมากที่ยังทนทุกข์ทรมานเมื่อต้องอ่าน  ความมืดกับความสว่างจึงมีเส้นแบ่งบางๆ เพียงแค่เราจะเลือกหลับตาหรือลืมตาของตนเอง



        เช่นเดียวกับ "โลกในดวงตาข้าพเจ้า" ผลงานของกวีซีไรต์ ประจำปี พ.ศ.2550  'มนตรี  ศรียงค์'  เจ้าของฉายา "กวีหมี่เป็ด" เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นที่ชีวิตของเขาในยามเช้ากับการก้มหน้าก้มตานวดแป้งด้วยแรงงานของตนเอง ทำเส้นบะหมี่และลวกขาย เพื่อเลี้ยงชีพมาอย่างยาวนาน ที่ร้าน "หมี่เป็ดศิริวัฒน์" บนถนนละม้ายสงเคราะห์เก่าแก่กลางเมืองหาดใหญ่  และเมื่อมีช่วงเวลาว่างสั้นๆ จากการงานพอให้ได้เงยหน้ามองโลก ก็ไม่ลืมที่จะรีบเปิดหนังสืออ่าน จดจารอักษรกวีจากดวงตา เช่น


แป้งในถังนวด

     คือแป้งขาวขาวกับไข่ไก่                             อยู่ในถังสแตนเลสใบเขื่อง

     เป็นงานไข่กับแป้งใช้แรงเปลือง                  ปฐมบทหมี่เหลืองศิริวัฒน์!

     แล้วจึงมือสองข้างจ้วงกลางแป้ง                โถมด้วยแรงวัยหนุ่มขยุ้มอัด

     กวนบี้คุ้ยกำขยำยัด                                    ด้วยกล้ามเนื้อทุกมัดเข้าจัดทำ

     จนเป็นแป้งเนื้อเดียวอันเหนียวนุ่ม               ขณะเหงื่อวัยหนุ่มก็ชุ่มฉ่ำ

     วิทยุอย่าขอเพลงหมอลำ                            และซ้ำซ้ำ สลา คุณาวุฒิ...


หมี่เหลืองศิริวัฒน์

     กลายเป็นการงานอันแสนสุข                       ตื่นปลุกเบิกบานในหน้าที่

     วันเป็นวันเดือนเป็นเดือนปีเป็นปี                  คนขายหมี่จะไปนิพพานแล้ว!.


        เสรีภาพในการอ่านจึงมิได้อยู่ที่ใครมีหนังสือมากกว่า แต่อยู่ที่ใครจะเลือกจับหนังสือก่อน  ชีวิตของคนธรรมดาอย่างพ่อค้าบะหมี่เป็ด ที่ทุกวันง่วนอยู่กับการนวดแป้งและลวกเส้น แม้ว่ามือจะเปื้อนแป้งและกระดาษจะเปื้อนมัน แต่กลับไม่เป็นอุปสรรคของผู้มีความสุขจากการอ่าน และส่งแรงบันดาลใจต่อการเขียน
        ช่วงเวลาที่มีความสุขของเขามาจากการอ่าน  อ่านเมื่อมีเวลา วางหนังสือลงเมื่อมีลูกค้า เก็บซับความคิดที่ได้ผ่านพบขณะลวกบะหมี่  แล้วเขียนบันทึกประสบการณ์แต่ละวันผ่านดวงตาของตนลงบนกระดาษเขียนเมนูเปื้อนแป้ง ..นานวันเข้าก็กลายมาเป็นมุมมองพิเศษที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ จนทำให้วงการวรรณกรรมไทยได้หนังสือดีประดับวงการเพิ่มขึ้นอีกเล่มหนึ่ง


        มนตรี ศรียงค์ เล่าไว้ในบทนำของหนังสือ มีหัวเรื่องชื่อ เลนส์มัลิติโค้ด” ก่อนปิดเรื่องว่า

        ข้าพเจ้าหลับตาถอนหายใจ โลกทั้งโลกถูกบันทึกเอาไว้แนบแน่นในความทรงจำ ข้าพเจ้ามองหาเด็กน้อยเมื่อเกือบ 30 ปีก่อน วิ่งเล่นซุกซนอยู่บนทางเท้า ข้าพเจ้ามองหาดวงดาวบางดวงสุกก่ำอำไพอยู่เหนือฟากฟ้ามืดหม่น การกระเซ็นของคลื่นที่สาดซัดกระทบหาด สายลมที่โอนยอดสนลู่เอน
        ข้าพเจ้าถอดแว่น ล้างแล้วเช็ดด้วยผ้าสำลี คาดหวังเอาไว้ว่า เมื่อสวมมันอีกครั้ง ข้าพเจ้าจักมองเห็นดอกไม้สักดอกหนึ่งบานจากเรตินาของข้าพเจ้า



        กระทั่งเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ.2550  ณ ห้องแม่กลอง โรงแรมโอเรียนเต็ล รวมบทกวีชื่อ โลกในดวงตาข้าพเจ้าของ มนตรี ศรียงค์  ซึ่งจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สามัญชน ของบรรณาธิการคุณภาพ  เวียง-วชิระ บัวสนธ์  จึงได้รับการประกาศด้วยมติเป็นเอกฉันท์จากคณะกรรมการตัดสินรอบสุดท้ายให้เป็นวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน ประจำปี พ.ศ. 2550 (Southeast Asian Writers Award : S.E.A. Write)
        โดยมีคณะกรรมการตัดสิน ประกอบด้วย ชมัยภร แสงกระจ่าง ประธานคณะกรรมการ และกรรมการ คือ ศ.ดร.กุสุมา รักษมณี   จิรนันท์ พิตรปรีชา   ผศ.ดร.ตรีศิลป์ บุญขจร   เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์   พิมล แจ่มจรัส และอดุล จันทรศักดิ์

        คำประกาศของคณะกรรมการตัดสิน มีอยู่ว่า. . . . . . 

        "โลกในดวงตาข้าพเจ้า ของ มนตรี ศรียงค์ เป็นบันทึกภาพความเคลื่อนไหวในชุมชนเล็กๆ ผ่านดวงตาพิเศษของกวีด้วยมุมมองเฉพาะตัวที่โดดเด่น ผสมผสานกับการย้อนรำลึกเรื่องราวเกี่ยวกับผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต สามารถทำให้เรื่องที่เป็นรูปธรรมเหล่านั้นโยงไปสู่สภาพสังคมโดยรวมได้
        มนตรี ศรียงค์ ประจักษ์ในสาระของชีวิตจากการงานที่เป็นจริง และผู้คนรายล้อม แล้วนำมาถ่ายทอดไว้ในบทกวีได้อย่างกลมกลืน มีชีวิตชีวา ศิลปะในการนำเสนออยู่ที่การสรรคำและการเรียบเรียงลำดับภาพความคิดด้วยชั้นเชิงทางวรรณศิลป์ ก่อให้เกิดความสะเทือนอารมณ์และชวนคิด"




        หนังสือเล่มนี้แบ่งบทกวีออกเป็น  4  ส่วน คือ  "ที่เห็นไม่เร้นหาย"  "ยังเวียนว่ายให้รู้สึก"  "ไม่เคยฝันไม่ทันนึก"  "ว่าจะเป็นกันเช่นนี้"  รวมถึง "บทนำเรื่อง" และ "บทส่งท้าย" ด้วย
        ลีลา 'กวีสกุลใต้' ของ มนตรี ศรียงค์ นั้นมีความหลากหลาย  น่าสนใจ  และคาดคิดไม่ถึงในบางเวลาที่เปรียบเสมือนละลอกคลื่นถั่งโถมมา ทั้งหนักและเบา เพราะกระแทกหัวใจผู้อ่านให้ปรับตัวแทบไม่ทัน  นับตั้งแต่เปิดหน้าแรกจนปิดหน้าสุดท้ายลง   เป็นกวีนิพนธ์ฉันทลักษณ์ที่มีอิสระทั้งทางด้านจังหวะ เสียง และลีลา ก่อความรู้สึกแปลกใหม่ ไม่คุ้นเคยให้กับการอ่าน  เนื้อหาของบทกวีพยายามนำพาผู้อ่านไปสู่ภาพและเรื่องเล่าที่ผู้อ่านไม่คุ้นเคยและขนบของบทกวีแบบดั้งเดิมไม่เคยอุทิศพื้นที่ให้  ได้แก่ ภาพของปัจเจกบุคคลที่ไม่มีความยิ่งใหญ่ใดๆ และไม่มีความเป็นมา อันได้แก่ พ่อค้า แม่ค้า หญิงคนรัก ช่างเสริมสวย  เพื่อนเก่า เด็กวัยรุ่นในอินเทอร์เน็ต เป็นต้น 


        ตัวอย่างบางส่วนจากบทกวีชื่อ "พลายงาม" มีลีลาอ่อนหวาน เต็มพลัง ที่กล่าวถึงผู้ได้ชื่อว่าเป็น "บิดา" และ "มารดาผู้ให้กำเนิดบุตร และส่งเสริมสถานภาพบุรุษและสตรีอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกันตามแบบสังคมเก่าของไทย

            ...พ่อแม่รักเจ้าสักเท่าไหน                          จึงเลือกให้เป็นผู้กำเนิดเจ้า

            มือพ่อกร้านกรำงานมานานเนา                    กอดเยาว์คงเกรงระคายตัว

            ต้องมือแม่นิ่มนุ่มไร้ปุ่มปม                            ป้อนนมชมจูบได้ลูบหัว

            แผ่วแผ่วเบาเบา - กลัวกลัว                           เนียนเนื้อเจ้าจะมัวจะหมองรอย



           ...ต้องเพลงแม่หวานหวานกังวานกล่อม         หอมหอมเพลงเห่ทั้งหอห้อง

           โยกเยกเอยโยกเยกเจ้าเมฆฟอง                   กระต่ายล่องลอยเมฆโยกเยกมา

           ก็เพราะพ่อรักเจ้าถึงเท่านี้                             จึงหน้าที่สูงส่งอันทรงค่า

           ควรแล้วเป็นการของมารดา                           มือพ่อหนาหยาบด้าน  ทำงานเอง...



        และจากบทกวีบางบทของเขา อย่าง "มนต์รัก MSN" ทำให้เห็นว่า ไม่ว่าโลกจะเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างไร กวีก็ต้องวิ่งตาม และไม่อาจอยู่กับที่ได้ เช่น

               โลกทั้งโลกถูกย่อเท่ามอนิเตอร์              เรากะเทอร์เจอกันในวันหนึ่ง

                ชีวิตในอินเตอร์เนตนี้ก็จึง                      หวานน้ำผึ้งสุขสมสีชมพู

                โย่วโย่วเทอร์อยู่ที่หนายอ่า?                  ทำงานแร้วรึว่ายังเรียนอยู่?

                รูปเทอร์สวยอ่าเหมือนหมาจู                  งุงิงุงิน่าเอ็นดูน่าดูแคม

                โชว์วิวเปิดแคมแพลมแพลมสิ                อะคริอะคริมะก้าแหงม

                เสื้อสีสวยแสบมันแว้บแวม                     ชั้นในแพรมลับล่อยี่ห้อไร?

                เนินนมขาวจังคงทั้งเต้า                        กำเดาเลือดลิ่มจะปริ่มไหล

                แคมเทอร์สวยออกทั้งนอกใน                 แคมใหญ่เต็มปลั่งกะลังดี

                หน้าบ้านเรารถถังกะลังวิ่ง                      ปฏิวัติกันจิงจิงหรือนี่?

                บ้านเทอร์มีปะ  รึมะมี?                         อี๋อี๋บ้านน้อกบ้านนอกจัง

                 55555555                                           เรารักเทอร์น้าเด็กโง่งั่ง

                เด๋วส่ง Mp3  ปะห้ายฟัง                         แร้ววันหลังส่งคลิปปะห้ายดู

                คลิปเราเองแหละเอิ๊กเอิ๊กเอิ๊ก                 ถ่ายก่อนเลิกกะแฟนโรงแรมหรู

                  ADSL  เราใช้ TRUE                           อัพโหลดคู่สองคลิปได้ฉะบาย

                เรารักเทอร์น้าเด็กโง่                              (คลิกอีโมฯรูปหัวเราะงอหงาย)

                หนึ่งปริ๊ดแระอิอิขอบจาย                        จุ๊บจุ๊บบะบายชัทดาวน์แร้วววววววววว...

                ......................................................

                ปล.รถถังมาทามมาย?

                เด๋วไปถ่ายรูปก่อง - บลาบลาบลา.


        ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ ณ แห่งหนใดในโลกล้วนสามารถทำงาน สร้างสรรค์ได้ เพียงแต่ขอให้มีดวงตาที่มองออกไป... จากตัวเองสู่ผู้อื่น และพินิจโลกกว้างอย่างสร้างสรรค์





        และในยุคนี้ก็เป็นความท้าทายของผู้ที่ได้ชื่อว่า กวีหรือนักเขียนว่า จะทำอย่างไรเพื่อส่องฉายสังคมในห้วงเวลานั้นออกมาให้ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะทำได้  เพื่อฝากไว้ในหน้าประวัติศาสตร์อีกบทหนึ่ง
        และกวีจะต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไป เพื่อสะท้อนว่า พื้นที่อันน้อยนิดที่สื่อปัจจุบันเจียดให้ในนามของ "กวี" ที่มีผู้อ่านจำนวนน้อยนิดนี้ ยังมีพลัง พร้อมเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น และเป็นเวทีให้สาธารณะหรือผู้ไม่มีปากเสียงในสังคมอื่นๆ ได้อีกทางหนึ่ง



        ยังมีคนรอ "กวี" อยู่ หากใครเจอ.. ช่วยกันบอกที


        หรือบางทีอาจจะอยู่ใน ดวงตาของคุณเอง!